Penguin's Pills

It’s affection always. You’re gonna see it someday.

[WVH Au LuizRaven] อุบัติเหตุ


ไฟนำทางส่องสลัวสองดวงในทางเดินเข้าไปสู่โถงกลางของห้องชุดสองชั้นในคอนโดกลางใจเมือง ชายในชุดตำรวจหุ่นกำยำรูดซิปเสื้อนอกออก ถอดชุดเกราะและสายห้อยกระบอกปืนไว้บนโต๊ะ เขาปลดกระดุมเชิ้ตออกสองเม็ด ด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า และเวลานี้ล่วงเลยกำหนดการเลิกงานมาห้าชั่วโมงกว่าแล้ว เขามองขึ้นไปด้านบนซึ่งไฟปิดสนิท และสุนัขตัวอ้วนที่หลับเกยคางบนบันได

“ทำไมไม่ไปนอนบนที่นอนดีๆนะเจ้าหมานี่” ลูอิซบ่นเสียงเบาขึ้นมา 

เขาเลี่ยงไม่ให้ตัวเองเหยียบเท้าหรือหางของสุนัขพันธุ์บูลล์เทอเรียร์ตัวสีขาวด่างดำ พอเขาเดินผ่านมันไปได้ถึงชั้นสองถึงจะหยิบมือถือขึ้นมาส่องไฟตามทางเพื่อเปิดเข้าห้องนอนไปอย่างช้าๆ ไฟในห้องนอนดับไปแล้ว แอร์ที่เปิดไว้ยังคงเย็นฉ่ำพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมปรับอากาศ บรรยากาศในห้องนอนพร้อมให้เขาล้มตัวลงไปนอนกับคนที่นอนหลับไปแล้ว

ลูอิซยังไม่ทำเช่นนั้น เขาเดินอ้อมไปข้างเตียง ก้มตัวลงหอมแก้มเนียนของคนๆนั้น “กลับมาแล้ว” 

เขาไม่ตั้งใจจะปลุกเสียทีเดียว ให้อีกฝ่ายได้นอนหลับสบายต่อเช่นนั้นส่วนตนเองเดินเข้าไปในห้องน้ำเพื่อชำระล้างร่างกาย เหงื่อไคล และเลือดที่เปื้อนตัวจากการปฏิบัติงานล่วงเวลาในวันนี้ แน่นอนว่านั่นไม่ใช่เลือดของเขา ลูอิซไม่มีร่องรอยบาดแผลอะไรนอกจากความเหนื่อยล้า และรอยแผลร้าวเล็กๆในใจหลังจากปฏิบัติงานเสี่ยงภัยวันนี้ ด้วยตำแหน่งที่ไม่ใช่ลูกน้องระดับล่างรอฟังคำสั่งอีกต่อไป เขามีภาระหน้าที่มากพอสมควรในพื้นที่ปฏิบัติงาน ลูอิซได้เพียงหวังว่าความบ้ารำห่ำของคนจะไม่ปะทุมาให้เห็นบ่อยๆอย่างวันนี้ที่เขาจำเป็นต้องวิสามัญคนร้ายถึงสองศพ และจับคนสุดท้ายได้แม้จะอยู่ในสภาพที่ต้องหามส่งโรงพยาบาลด่วนก็ตามที คนในหน่วยเขาก็ได้รับบาดเจ็บหลายรายจากการปะทะ แม้จะไม่ได้มีคนเสียชีวิตแต่อาการหนักอยู่หลายรายจากแรงระเบิด

 ทีแรกลูอิซได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้ทำแค่งานจับนายหน้าค้ายาเสพติดธรรมดา แต่หลังจากลูอิซย้ายมารับตำแหน่งใหม่ในหน่วยปราบปรามก็เหมือนโดนเทงานใหญ่เข้าให้วันนี้เสียเลย ใครๆก็บอกว่ามันเป็นงานถนัดเขาอยู่แล้ว ด้วยพละกำลังทั้งบู้บุ๋น อีกทั้งยังมีเส้นสายจากตระกูลหนุนหลังลูอิซนั้นเป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงในหมู่นักธุรกิจบนดินและใต้ดิน ยังไม่รวมกับเส้นสายในวงการตำรวจอีก ถึงอย่างนั้นก็เถอะ …คนอย่างเขาพ่อกับปู่ไม่นับเป็นลูกหลานแท้ๆในไส้เสียหน่อย 

สายน้ำเย็นเหยียบไหลผ่านแผ่นอกและกล้ามเนื้อลงมา ลูอิซกำหมัดชนผนังห้องน้ำ เขาลดระดับกำปั้นลงมาเมื่อใจสงบลง ในหัวที่คิดอะไรยุ่งเหยิงก็พยายามผ่อนคลายให้มันไหลลงไปกับสายน้ำที่ชำระล้างกาย …เขายังมีอะไรต้องทำ สิ่งที่จำเป็นกว่าชื่อเสียง และตำแหน่งพวกนั้น สิ่งสำคัญเดียวของเขา

ลูอิซเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดคลุมทั้งตัวยังเปียกปอนอยู่ เขาเช็ดตัวลวกๆสวมเพียงเสื้อคลุมตัวนั้นลงไปนอนคลุมผ้าห่มกอดคนข้างกายแน่น ดมกลิ่นเส้นผมและจูบหน้าผากเบาๆไม่อยากปลุกเรเวนให้ตื่นขึ้นมา ลูอิซยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกของวัน เขากอดและมองเรเวนด้วยดวงตาสีเขียวหม่นท่ามกลางแสงไฟสลัวที่ส่องออกมาจากขอบประตูห้องน้ำเพียงเล็กน้อย เขาใช้เวลามองอยู่อย่างนั้นนานจนรู้ว่าอีกฝ่ายคงเข้าห้วงนิทราลึกลงไปในฝันแล้ว ลูอิซคลายอ้อมกอดนั้นออกมา

เขาหันตัวช้าๆไม่ให้เตียงขยับมากนักเพื่อเปิดลิ้นชักโต๊ะข้างเตียง ล้วงควานเอาของในลิ้นชักท่ามกลางความมืด หยิบถูกหยิบผิดจนไปเจอของที่อยู่ตรงนั้นเมื่อนานมาแล้วตั้งแต่เขาย้ายมาอยู่ที่คอนโดนี้ก็นำมันติดตัวมาด้วย

คนตัวใหญ่ขยับขึ้นมาพิงหมอนใช้ศอกข้างนึงค้ำไว้เอากล่องเหล็กขนาดเล็กพอๆกับฝาขวดน้ำมาเปิดสลัก แหวนเงินแท้ประดับทับทิมวางอยู่ในกล่องเหล็ก เขาเก็บไว้เป็นของตกทอดจากครอบครัวจากฝั่งแม่ ทั้งตาและยายต่างไม่มีลูกชายให้สืบทอดนามสกุล แหวนวงนี้จึงตกมาสู่หลานชายอย่างลูอิซ และคงเป็นรุ่นสุดท้ายหากเขาไม่สวมมันต่อให้กับใคร ลูอิซพ่นลมหายใจเบาๆขณะขำให้กับตนเองที่สุดท้ายก็หยิบมันออกมา เดิมทีแหวนวงนี้ออกจะเป็นแหวนของผู้หญิงมากกว่าจะให้ผู้ชายสวมใส่ ทั้งขนาด และรูปทรงที่เล็กกว่านิ้วของเขาจะใส่มันลงไปได้ …ถ้าเป็นเรเวนจะใส่มันได้ไหม ลูอิซนึกพลางมองคนที่หลับสบายอยู่ข้างกาย

ลูอิซคิดเล่นๆว่าเขาอาจจะไม่ต้องซื้อวงใหม่แล้วก็ขยับไปจับแขนข้างซ้ายเรเวนมาลองสวมมันลงไปบนนิ้วนาง ตะกุกตะกัดเล็กน้อย และแหวนวงเล็กก็ใส่ลงไปบนนิ้วนางได้พอดีไม่หลวม 

แหวนทับทิมวงสวยสีตัดกับผิวขาวได้ดี เขาค่อนข้างพอใจและนอนมองมือเรเวนอยู่อย่างนั้นจนตอนจะถอดมันกลับดึงออกมาไม่ได้ หลังจากเรเวนมีสีหน้าจะตื่นขึ้นมาลูอิซก็ไม่คิดจะพยายามดึงมันออกอีก ปล่อยให้อีกฝ่ายหลับไปต่อนั่นคงดีที่สุด

 เขาได้เพียงแค่นั่งมองมันคาอยู่บนนิ้วของเรเวนอย่างนั้นนานจนผล็อยหลับไปกับความเหนื่อยล้า …อาจจะเป็นอุบัติเหตุเล็กๆที่กลายเป็นเรื่องดี ในเมื่อเขาไม่รู้จะสวมมันให้เรเวนตอนไหนดี มันคาอยู่ในใจลูอิซมาซักระยะแล้ว และเป็นเขาเองที่กล้าพอจะเอ่ยปากออกไป 

ลูอิซสวมกอดเรเวนไว้เช่นเดิม คนๆนี้เป็นของเขาแล้วทั้งหมด  ไม่คิดถึงตำแหน่งหน้าที่พวกนั้นอีก หลังปิดคดีนี้เขาคงลาพักร้อนซักระยะพาเรเวนไปเที่ยวทะเลหรือภูเขาทำอย่างกับทริปฮันนีมูนของคู่รักทั่วไปกันเสียที 

,,uwu,,) fin

———————————

[WVH Origin] After Story -Luiz*Raven


มนุษย์หมาป่าสีดำลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก นี่คือวันที่10นับจากวันแรกที่เขาลงไปติดชั้นใต้ดินร่วมกับเหล่าเอ็กโซซิสเพื่อช่วงชิงพลังจากศิลา ลูอิซมาถึงปราสาทแห่งนี้พร้อมกับสามพี่น้อง ครอบครัวได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และออกล่าอาณาเขตของตนเอง 

ก่อนวันที่เขาจะหลับไป

ในปราสาทหลังใหญ่กลางป่าที่เคยเป็นของผู้ดีตระกูลหนึ่ง มนุษย์ผู้ขบถต่อหมาป่าได้ถูกฆ่าล้างไปหมดสิ้น  ที่แห่งนี้ก็เช่นกัน

สี่พี่น้องตระกูลบลังโก้เดินทางมาถึงปราสาทหลังใหญ่นี้ และจัดการไม่เหลือแม้แต่เด็ก และคนชรา จะว่าพวกเขาโหดเหี้ยมก็ใช่ แต่ในมุมมองของลูอิซ การมีชีวิตอยู่นั้นทรมานกว่าตายหลายร้อยหลายพันเท่า

ร่างของหญิงพี่เลี้ยงร่วงลงกับพื้นในห้องครัว เธอพยายามพาคุณหนูของตระกูลหนีไปแต่ไม่สำเร็จ เด็กน้อยสองคนตัวเล็กพอที่จะลอดปล่องทิ้งขยะไปซ่อนตัวรอพี่เลี้ยงของเธอตามมา

แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงของหญิงสาวอีกคนที่ไม่คุ้นเคย

“หนูจ้ะ พี่รู้นะว่าอยู่ในนั้น”

เด็กสาวบอบบางอุ้มน้องชายของเธอเอาไว้ในอ้อมกอดตัวสั่นเทา ทารกในอ้อมกอดของเธอร้องไห้งอแงเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจนเธอไม่มีกะใจจะซ่อนตัวอีกต่อไป เธอค่อยๆไต่ช่องทิ้งขยะแคบๆออกมา เสื้อผ้าชุดนอนสีขาวเปื้อนฝุ่นและเหม็น แต่เธอดูเหมือนจะไม่สนใจมันอีกต่อไป ได้แต่ยืนร้องไห้อยู่หน้าหมาป่าสาวผมสีชมพูอ่อนที่เพิ่งกินร่างของพี่เลี้ยงเธอเข้าไป ใบหน้าของไคลีนเปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่ดูใจดี เธอยิ้มเล็กน้อยให้เด็กสาวพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหาหนึ่งก้าว 

“มีกันสองคนเหรอจ้ะ” 

เด็กน้อยพยักหน้าสะอึกสะอื้น 

“แล้วหนูน้อยคนนี้ชื่ออะไร”

“ฟิล” เสียงเล็กๆตอบไคลีน เธอก้มหน้าลงมองเด็กทารกเพศชายอายุไม่ถึงปี

“ฟิล ชื่อน่ารักดีนี่นา”

เด็กสาวพยักหน้าตาม และพอเห็นเงาของใครบางคนที่เข้ามาสมทบในครัวก็ทำหนูน้อยตกใจจนถอยห่างไคลีนไปชิดทางออกช่องทิ้งขยะอีกครั้ง หมาป่าตัวนั้นมีรูปร่างสูงเกือบ 2เมตร ขนสีดำถูกย้อมด้วยเลือดจนชุ่มเกือบทั้งตัว หางฟูสบัดไปมาอย่างใจเย็น และดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววชัดสะท้อนกับแสงไฟในห้อง 

ไคลีนเห็นปฏิกิริยาของเด็กน้อยแล้วหันไปด้านหลังด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์

“ลูอิซ นายทำเด็กๆตกใจอยู่นะ” พี่สาวต่างแม่ของเขาทำเสียงดุใส่พร้อมกับเท้าเอวยืนขวางเด็กน้อยทั้งสองคนจากหมาป่าอัลฟ่า

“พี่จะเก็บเด็กนี่ไว้เหรอ” 

“….” เธอไม่ตอบ

“ทำไม” เมื่อคำตอบที่ได้คือความเงียบ ลูอิซเข้าใจทันทีว่าพี่สาวจะไว้ชีวิตเหยื่อตัวน้อยสองคนสุดท้ายในปราสาทหลังนี้ไป

“ถ้านายไม่เอา ฉัน…”

“ฆ่าทิ้งซะ” แม้น้ำเสียงจะเรียบนิ่งแต่คำนั้นทำเด็กสาวตัวเล็กสั่นเทิ้มจนทรุดลงไปนั่งร้องไห้ “อยู่ไปก็ทรมาน ฉันไม่อยากเห็นเธอทุกข์ทรมาน” หมาป่าหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก

“แต่ว่า…” ไคลีนมองมายังเด็กน้อยสองคนด้านหลังเธอที่ร้องไห้สะอื้นไม่หยุด

“พี่คิดจะทรมานพวกเขางั้นเหรอ ใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่ไม่เหลือใครเลย เต็มไปด้วยความแค้น และความเศร้าไม่มีวันสิ้นสุด” เขามาหยุดตรงหน้าไคลีน และเดินอ้อมเธอมาหาเด็กน้อยทั้งสองคน ลูอิซนั่งลงไปในระดับเดียวกัน ส่วนไคลีนที่ยืนมองน้องชายไม่ได้ห้ามอะไร เธอไม่มีสิทธิจะห้ามเขาอยู่แล้ว

“เธอกำลังทรมานใจจะขาด ต่อไปนี้จะอยู่ยังไง จะกินยังไง…” เขามองลงไปที่เด็กชายแบเบาะร้องไห้จ้าออกมาทันทีที่มือของลูอิซเปิดผ้าอ้อมออกมาดูใบหน้าตุ้ยนุ้ยน่ารัก “เด็กน้อยคนนี้ก็จะไม่มีแม่ ไม่มีนมแม่ให้กินจนอดตาย เธอคิดว่าเขาจะรอดพ้นไปได้ซักกี่วันโดยไม่มีแม่หรือพี่เลี้ยง”

เด็กตัวน้อยส่ายหน้าตอบเจ้าหมาป่า ทั้งที่เธอยังร้องไห้ไม่หยุด เขาจึงขยับเข้าไปลูบดวงแก้มที่มีน้ำตานั้นเบามือ “เธออยากไปอยู่กับพี่เลี้ยง อยู่กับพ่อ และแม่ หรืออยากทรมานอยู่บนโลกนี้จนตายกันล่ะ”

เด็กสาวก้มหน้าลงไม่ได้ตอบ ดวงตาของเธอมีแต่ความสิ้นหวัง ไร้ซึ่งแรงแค้น หรือความกลัวใดใด เธอถูกมือของเขาเชยคางเล็กขึ้นมามองสีหน้านั้น และนั่นก็ทำให้หนูน้อยตกใจเมื่อใบหน้าลูอิซกลับมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ค่อยๆไหลรินลงมา ในไม่ช้าเลือดสีสดเริ่มทะลักออกจากปากล้นเปรอะผ้าอ้อมของเด็กชายตัวน้อยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด  ร่างของเด็กสาวทรุดลงไปนอนกับพื้นโดยมีเลือดไหลอาบช่วงอก เธอปล่อยมือจากทารกตัวน้อยที่นอนร้องไห้

ไม่นานนัก เสียงของเด็กน้อยทั้งสองก็เงียบลง

ในห้องสลัวที่มีหมาป่าสองตัวยืนคู่กันดูมนุษย์สองคนสุดท้ายในปราสาทหลังใหญ่สิ้นใจไปในที่สุด ไคลีนประคองแก้มของน้องชายมาดูใบหน้าของเขาชัดๆ เธอตกใจไม่แพ้กันที่ลูอิซมีน้ำตาไหลออกมา และยังดวงตาสีเขียวที่หม่นแสงลงตรงหน้าเธอ นี่ไม่ใช่ลูอิซในแบบที่เธอเคยเห็นมาตลอดสิบกว่าปี

“ผมจะไปพักซักหน่อย” เขาปัดมือเธอออกและเดินออกไป

ไคลีนตามขึ้นไปภายหลังจากที่จัดการกับร่างเด็กน้อยทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เธอเดินไปสมทบกับไคล์ และเฟลิซที่โถงกลาง หมาป่าสองหนุ่มกำลังเอนตัวพิงโซฟาหรูหน้าเตาผิงที่มีรูปปั้นแกะสลักปราณีตโดยรอบ เสาหินอ่อนแกะสลักรูปปั้นเทพธิดา ถือคฑาสวยงามที่มีร่างของพ่อบ้านห้อยหัวเลือดชุ่มโชกยังไหลลงมาเป็นทางอยู่ ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยอง แต่กระนั้นหญิงสาวคนเดียวในห้องนี้ก็ดูจะเห็นจนชินตาไปแล้ว

ไคล์หยิบขวดไวน์จากถาดรถเข็นมาเปิดเพื่อฉลองปราสาทหลังใหม่ของสี่พี่น้อง เขายกขวดไวน์ขึ้นเรียกไคลีนเมื่อเห็นเธอเดินมาไกลๆ

“ไคลีน ตรงนี้มีไวน์จากปีที่เธอเกิดด้วยนะ รสชาติยอดไปเลย”

“ลูอิซล่ะ” เฟลิซที่กึ่งนอนเอนตัวพิงหมอนอิงอยู่ก็หันไปถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายคนโตทักไคลีนขึ้นมา เขาค่อนข้างติดลูอิซมากกว่าพี่ชายและพี่สาวทั้งสองที่อายุห่างกันเกือบเท่าตัวตั้งแต่เด็ก

“ไปนอนพักแล้ว” เธอเดินมานั่งโซฟายาวข้างเฟลิซด้วยสีหน้าสุดเซ็งพร้อมกับถอนหายใจยาว

“เป็นอะไร” ไคล์วางขวดไวน์ไว้ให้เธอแล้วถามก่อน

เธอคิ้วขมวดขึ้นทันทีตอนตอบ “ตั้งแต่กลับมานี่รู้สึกไหมว่าเขาอารมณ์อ่อนไหว”

“ลูอิซน่ะเหรอ” พี่ชายคนโตขมวดคิ้วถามไคลีนแล้วลูบหนวดเคราบนใบหน้า “ไม่รู้แหะ” คนอย่างไคล์คงไม่สังเกตอะไรนอกเหนือจากงาน และพ่อ เขาไม่ได้สนิทสนมอะไรกับน้องชายที่ปลีกตัวออกจากครอบครัวคนนี้เท่าไหร่นัก ไคล์จึงหันไปหาเฟลิซซึ่งน่าจะรู้จักลูอิซดีที่สุด น้องสุดท้องคนนี้ชอบไปป้วนเปี้ยนในเมืองและไปหาลูอิซบ่อยครั้ง แม้กระทั่งตอนล่าเหยื่อที่ลูอิซไม่ได้รวมกับฝูง เฟลิซก็ยังตามพี่ไปล่าด้วยสองคนหลายหนตอนที่เขาทำงานเป็นเอ็กโซซิส

ไคลีนขยับตัวเข้ามาหาน้องชายคนสุดท้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คนรักเหรอ” เซ้นส์ของหญิงสาวมักจะดีเสมอ โดยเฉพาะเรื่องรักๆใคร่ๆ

เฟลิซได้แต่พยักหน้ารับ พอเห็นคำตอบจากน้องสุดท้อง พี่ๆทั้งสองต่างตกใจตาโต โดยเฉพาะไคลีนที่ดูจะตกใจและตื่นเต้นเป็นพิเศษ “มีรูปไหม หน้าตาเป็นยังไง” เธอซักไซร้ถามเฟลิซ ยื่นใบหน้ายิ้มแย้มเข้ามาใกล้

“ไม่เห็นมีติดตัวไว้นะ แต่ผมเคยเห็นเขาตอนงานรับบริจาคครั้งนึง …น่าจะคนนั้น”

“เขา…” คราวนี้เป็นเสียงไคล์ที่พูดขึ้นมาบ้าง “ผู้ชายงั้นเหรอ”

เฟลิซหันไปมองพี่ชายคนโตด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นี่พี่ยังไม่รู้เหรอว่าลูอิซเป็นพวกหญิงก็ได้ชายก็ดี” พี่คนโตของบ้านผู้ทำงานสืบทอดกิจการครอบครัวมาตลอดจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลย

เฟลิซหันกลับมามองเตาผิง เปลวไฟปะทุสะเก็ดขึ้นมาและมอดดับลงไปในกองเพลิง เขาเงียบลงเล็กน้อย “เห็นเอามาแต่เถ้ากระดูก…”

ไคลีนยกมือปิดปากด้วยใบหน้าที่รู้สึกแย่ตามไปด้วย

“หัวกระโหลก… น่าจะของคนๆนั้นเหมือนกัน” เฟลิซเหม่อมองกองไฟไปด้วยขณะพูด “ผมไม่คิดจะถามตั้งแต่พี่ออกมาจากใต้ดินนั่น เขาเอาร่างของเพื่อนอีกสองคนไปฝั่ง แต่กับของคนนี้ตอนเห็นก็เป็นหอบผ้าใส่เถ้ากระดูกออกมาแล้ว” หมาป่าหนุ่มถอนหายใจ เขาเผลอตัวหยิบเหล้ายกขึ้นดื่มโดยที่พี่ๆไม่ทันห้ามอะไร จนสำลักความขมออกมาเอง

“เศร้าชะมัด” ไคลีนหันหน้าขึ้นไปยังทิศที่มีบันไดขึ้นไปชั้นบนของปราสาท ลูอิซคงขึ้นไปพักอยู่ในห้องนอนซักห้องด้านบน เขาเหนื่อยล้าเต็มทีจากการไม่ได้นอนติดกันหลายคืน และยังเดินทางมาจนถึงปราสาทในป่าลึกแห่งนี้ เธอหยิบขวดไวน์ปีเกิดของเธอขึ้นมาเปิดและยกดื่ม พอแอลกอฮอล์ลงคอเธอก็เท้าคางมองไปที่เตาผิงทางเดียวกับเฟลิซอีกคน 

“ฉันไม่เคยเห็นเขารักใครเลยตั้งแต่เด็ก แม้กระทั่งพ่อหรือแม่ นั่นคง…หนักมากสำหรับเขา” เธอหลับตาลงและถอนหายใจยาว

สามพี่น้องต่างนั่งสงบนิ่งประหนึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการไว้อาลัยให้คนรักของคนในครอบครัว

นับจากวันนั้นมาไคล์ได้กลับไปรวมฝูงกับพ่อ และเพื่อนของเขา ส่วนไคลีน และเฟลิซมาเยี่ยมหาลูอิซเป็นบ่อยครั้ง เพราะกลัวเจ้าหมาป่าเดียวดายตัวนี้จะเหงาตายไปซะก่อน แต่ก็ไม่ยักกะมาเจอตอนเหงาซักที บางทีก็มีเพื่อน หรือแขกเข้ามาหาเขา บ้างก็เป็นมนุษย์ที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อหมาป่า พวกเขาต้องการเข้าร่วมเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเขา แต่กลับถูกปฏิเสธไปนักต่อนัก จะมีก็แต่พวกหญิงสาวที่เข้าออกปราสาทได้สะดวก มีทั้งมนุษย์ และหมาป่าต่างเข้ามาปรนนิบัติปรนเปรออัลฟ่าหนุ่มที่มีชื่อไปทั่วเมือง เขาเป็นอัลฟ่าที่ช่วยชิงศิลามาจากเหล่าเอ็กโซซิส แค่นั้นก็ดึงดูดความสนใจของเหล่าหมาป่าด้วยกัน รวมไปถึงมินเนี่ยนที่อยากมีหูมีหางด้วย 

ใช่เสียที่ไหนกันล่ะ เขาก็แค่… ไปอยู่ถูกที่ถูกทางก็เท่านั้น ลูอิซคิดเช่นนั้นเสมอมา

และเมื่อไหร่ที่เหล่าผู้มาเยือนปราสาทถามถึงเหตุการณ์เหล่านั้นลูอิซกลับปฏิเสธที่จะตอบ หรือแม้แต่เล่าให้ฟัง  เพราะเขาไม่เคยลืม เขาจึงไม่อยากพูดถึง

กระโหลกศีรษะของมนุษย์คนหนึ่งยังวางอยู่ในห้องนอน ถูกปัดฝุ่นทำความสะอาดอย่างดีไม่ให้ใครแตะต้อง คนรักของเขา…

หมาป่าหนุ่มที่ตอนนี้ผมสีดำยาวลงมาเกลี่ยใบหน้าก้มลงจูบบนหน้าผากนั้นเบาๆและยิ้มเศร้าให้กระโหลกขาวนั้นทุกเช้า 

“เจ้าบื้อ”

ก่อนจะออกไปเผชิญกับวันใหม่ที่แสนทรมาน

เขาไม่ได้ฝันถึงเรเวนอีกเลยนับแต่คืนนั้นที่หลับไป ลูอิซทำใจว่าคนรักของเขาคงไปสู่สุขคติตามที่พวกมนุษย์เชื่อกัน ไม่หลงเหลือเรเวนอยู่แล้วบนโลกใบนี้ มีเพียงกระดูก ขี้เถ้าในกล่อง กับภาพจำของคนรักในใจหมาป่าหนุ่มเท่านั้น

ไม่ว่าจะ5ปี 10ปี เขาไม่เคยลืมเจ้าของผมสีดำขลับ และดวงตาสีเทาหม่นหางตาตกดูน่าแกล้งนั้นได้เลย

ช่วงเข้าฤดูหนาววนเวียนมาอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาเดียวกับหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น และวันนี้เฟลิซก็นัดพี่ชายของเขาออกมาจากปราสาทเพื่อชมหิมะแรกของปี โดยให้เหตุผลว่า “พี่ควรออกมาเยี่ยมหลานบ้าง หลานจะได้จำหน้าลุงของพวกเขาได้ ปีละครั้งก็ยังดี” 

ที่พักของไคลีนอยู่ไม่ห่างจากเมืองที่พวกเขาอยู่มากนัก อย่างน้อยก็ในระดับที่ฝีเท้าหมาป่าของสองพี่น้องจะวิ่งไปไม่กี่อึดใจถึง เธอคลอดลูกหมาป่าตัวน้อยออกมาก่อนฤดูหนาวจะมาเยือนพอดิบพอดี และตอนนี้ครอบครัวบลังโก้ก็มีเจ้าตัวน้อยจากไคลีนถึงสองคนแล้ว

ลูอิซเดินทางมาที่เมืองทางตอนเหนือของปราสาท เขามองหาเฟลิซที่บอกว่าจะมาสมทบที่เมืองนี้ แต่ยังไร้วี่แววจากเจ้าชายสายประจำของบ้าน เขาคิดว่าน้องชายจอมกวนนั่นคงแวะรายทางหรือออกมาช้าอย่างเคย จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะเดินดูหมู่บ้านรอบๆรอไปก่อน

หมู่บ้านในเมืองแถบนี้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของพวกหมาป่าโดยสมบูรณ์ พวกเขาไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆนับแต่เผ่าพันธุ์หมาป่าได้พลังของศิลามาอยู่ในมือ บ้านเรือนต่างๆประดับตกแต่งไฟสวยงามพร้อมต้อนรับช่วงฤดูกาลที่หนาวยาวนาน และเหล่าสัตว์มีขนอย่างพวกเขาจะได้อยู่แต่ในบ้านเพื่อจำศีล

ตลาดกลางคืนเริ่มเปิดแสงไฟหน้าร้านรวงให้ลูกค้ามาจับจ่ายใช้สอยกัน ลูอิซได้ออกมาเที่ยวเล่นที่นี่ก็ดูจะผ่อนคลายสีหน้าเครียดจากการต้องรอเจ้าน้องชายตัวดีไปบ้าง มีร้านเครื่องประดับหินที่หนึ่งดูจะสะดุดตาลูอิซเป็นพิเศษ ตรงหน้าเป็นหินสวยงามที่ถูกสลักเป็นรูปศิลาที่เขาคุ้นตาวางเรียงกันอยู่ “….” เขายืนมองมันด้วยความทรงจำในวันนั้นชัดเจน สิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่ทำให้ลูอิซลืมได้ลงเลยซักวัน

เขาเดินออกมาจากหน้าร้านโดยที่ไม่คิดจะซื้อมันกลับไป

และใครจะรู้ว่าเขาเกลียดศิลานั่นยิ่งกว่าอะไรดี…

ในจังหวะที่หมาป่าตัวใหญ่หันกลับออกมา ร่างสูงเกือบ2เมตรของเขาก็ชนเข้ากับใครบางคนที่เดินผ่านมาอย่างจัง เสียงของกองหนังสือร่วงหล่นลงพื้นหลายเล่มทันทีที่คนเดินไม่ดูทางเดินมาชน

“ขอโทษครับ”

หูหมาป่าสีดำ และผมสีดำขลับของคนที่ก้มลงเก็บของบนพื้น ยังไม่ทำให้ลูอิซหยุดชะงักได้เท่าน้ำเสียงโทนที่คุ้นเคย

เขาหยุดยืนดูหมาป่าหนุ่มน้อยก้มเก็บหนังสือที่หล่นบนพื้นด้วยคิ้วขมวดบนใบหน้าเคร่งเครียด และเมื่อเจ้าหมาป่าหนุ่มตรงหน้าเงยขึ้นมาจากพื้นกลับทำเขาอึ้งจนยืนนิ่งไปทันที ภาพทั้งหมดนั้นของช่วงเวลาสั้นๆขโมยเอาลมหายใจลูอิซไปชั่วขณะก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงอีกครั้งอย่างไม่เคยเป็นมานาน 

ดวงตาสีเขียวมรกตประสานกับตาสีเทาคู่นั้นที่เขาคุ้นเคย หางตาตก และใบหน้าซื่อบื้อของคนที่เขารู้จักดี

“เรเวน…”

.

.

.