มนุษย์หมาป่าสีดำลืมตาตื่นขึ้นมากลางดึก นี่คือวันที่10นับจากวันแรกที่เขาลงไปติดชั้นใต้ดินร่วมกับเหล่าเอ็กโซซิสเพื่อช่วงชิงพลังจากศิลา ลูอิซมาถึงปราสาทแห่งนี้พร้อมกับสามพี่น้อง ครอบครัวได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง และออกล่าอาณาเขตของตนเอง
ก่อนวันที่เขาจะหลับไป
ในปราสาทหลังใหญ่กลางป่าที่เคยเป็นของผู้ดีตระกูลหนึ่ง มนุษย์ผู้ขบถต่อหมาป่าได้ถูกฆ่าล้างไปหมดสิ้น ที่แห่งนี้ก็เช่นกัน
สี่พี่น้องตระกูลบลังโก้เดินทางมาถึงปราสาทหลังใหญ่นี้ และจัดการไม่เหลือแม้แต่เด็ก และคนชรา จะว่าพวกเขาโหดเหี้ยมก็ใช่ แต่ในมุมมองของลูอิซ การมีชีวิตอยู่นั้นทรมานกว่าตายหลายร้อยหลายพันเท่า
ร่างของหญิงพี่เลี้ยงร่วงลงกับพื้นในห้องครัว เธอพยายามพาคุณหนูของตระกูลหนีไปแต่ไม่สำเร็จ เด็กน้อยสองคนตัวเล็กพอที่จะลอดปล่องทิ้งขยะไปซ่อนตัวรอพี่เลี้ยงของเธอตามมา
แต่เสียงที่ได้ยินกลับเป็นเสียงของหญิงสาวอีกคนที่ไม่คุ้นเคย
“หนูจ้ะ พี่รู้นะว่าอยู่ในนั้น”
เด็กสาวบอบบางอุ้มน้องชายของเธอเอาไว้ในอ้อมกอดตัวสั่นเทา ทารกในอ้อมกอดของเธอร้องไห้งอแงเสียงดังขึ้นเรื่อยๆจนเธอไม่มีกะใจจะซ่อนตัวอีกต่อไป เธอค่อยๆไต่ช่องทิ้งขยะแคบๆออกมา เสื้อผ้าชุดนอนสีขาวเปื้อนฝุ่นและเหม็น แต่เธอดูเหมือนจะไม่สนใจมันอีกต่อไป ได้แต่ยืนร้องไห้อยู่หน้าหมาป่าสาวผมสีชมพูอ่อนที่เพิ่งกินร่างของพี่เลี้ยงเธอเข้าไป ใบหน้าของไคลีนเปลี่ยนเป็นมนุษย์ที่ดูใจดี เธอยิ้มเล็กน้อยให้เด็กสาวพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปหาหนึ่งก้าว
“มีกันสองคนเหรอจ้ะ”
เด็กน้อยพยักหน้าสะอึกสะอื้น
“แล้วหนูน้อยคนนี้ชื่ออะไร”
“ฟิล” เสียงเล็กๆตอบไคลีน เธอก้มหน้าลงมองเด็กทารกเพศชายอายุไม่ถึงปี
“ฟิล ชื่อน่ารักดีนี่นา”
เด็กสาวพยักหน้าตาม และพอเห็นเงาของใครบางคนที่เข้ามาสมทบในครัวก็ทำหนูน้อยตกใจจนถอยห่างไคลีนไปชิดทางออกช่องทิ้งขยะอีกครั้ง หมาป่าตัวนั้นมีรูปร่างสูงเกือบ 2เมตร ขนสีดำถูกย้อมด้วยเลือดจนชุ่มเกือบทั้งตัว หางฟูสบัดไปมาอย่างใจเย็น และดวงตาสีเขียวมรกตฉายแววชัดสะท้อนกับแสงไฟในห้อง
ไคลีนเห็นปฏิกิริยาของเด็กน้อยแล้วหันไปด้านหลังด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์
“ลูอิซ นายทำเด็กๆตกใจอยู่นะ” พี่สาวต่างแม่ของเขาทำเสียงดุใส่พร้อมกับเท้าเอวยืนขวางเด็กน้อยทั้งสองคนจากหมาป่าอัลฟ่า
“พี่จะเก็บเด็กนี่ไว้เหรอ”
“….” เธอไม่ตอบ
“ทำไม” เมื่อคำตอบที่ได้คือความเงียบ ลูอิซเข้าใจทันทีว่าพี่สาวจะไว้ชีวิตเหยื่อตัวน้อยสองคนสุดท้ายในปราสาทหลังนี้ไป
“ถ้านายไม่เอา ฉัน…”
“ฆ่าทิ้งซะ” แม้น้ำเสียงจะเรียบนิ่งแต่คำนั้นทำเด็กสาวตัวเล็กสั่นเทิ้มจนทรุดลงไปนั่งร้องไห้ “อยู่ไปก็ทรมาน ฉันไม่อยากเห็นเธอทุกข์ทรมาน” หมาป่าหนุ่มก้าวเข้ามาใกล้ขึ้น สีหน้าของเขาเศร้าสร้อยอย่างบอกไม่ถูก
“แต่ว่า…” ไคลีนมองมายังเด็กน้อยสองคนด้านหลังเธอที่ร้องไห้สะอื้นไม่หยุด
“พี่คิดจะทรมานพวกเขางั้นเหรอ ใช้ชีวิตอยู่บนโลกที่ไม่เหลือใครเลย เต็มไปด้วยความแค้น และความเศร้าไม่มีวันสิ้นสุด” เขามาหยุดตรงหน้าไคลีน และเดินอ้อมเธอมาหาเด็กน้อยทั้งสองคน ลูอิซนั่งลงไปในระดับเดียวกัน ส่วนไคลีนที่ยืนมองน้องชายไม่ได้ห้ามอะไร เธอไม่มีสิทธิจะห้ามเขาอยู่แล้ว
“เธอกำลังทรมานใจจะขาด ต่อไปนี้จะอยู่ยังไง จะกินยังไง…” เขามองลงไปที่เด็กชายแบเบาะร้องไห้จ้าออกมาทันทีที่มือของลูอิซเปิดผ้าอ้อมออกมาดูใบหน้าตุ้ยนุ้ยน่ารัก “เด็กน้อยคนนี้ก็จะไม่มีแม่ ไม่มีนมแม่ให้กินจนอดตาย เธอคิดว่าเขาจะรอดพ้นไปได้ซักกี่วันโดยไม่มีแม่หรือพี่เลี้ยง”
เด็กตัวน้อยส่ายหน้าตอบเจ้าหมาป่า ทั้งที่เธอยังร้องไห้ไม่หยุด เขาจึงขยับเข้าไปลูบดวงแก้มที่มีน้ำตานั้นเบามือ “เธออยากไปอยู่กับพี่เลี้ยง อยู่กับพ่อ และแม่ หรืออยากทรมานอยู่บนโลกนี้จนตายกันล่ะ”
เด็กสาวก้มหน้าลงไม่ได้ตอบ ดวงตาของเธอมีแต่ความสิ้นหวัง ไร้ซึ่งแรงแค้น หรือความกลัวใดใด เธอถูกมือของเขาเชยคางเล็กขึ้นมามองสีหน้านั้น และนั่นก็ทำให้หนูน้อยตกใจเมื่อใบหน้าลูอิซกลับมีน้ำตาเอ่อคลออยู่ค่อยๆไหลรินลงมา ในไม่ช้าเลือดสีสดเริ่มทะลักออกจากปากล้นเปรอะผ้าอ้อมของเด็กชายตัวน้อยที่ยังร้องไห้ไม่หยุด ร่างของเด็กสาวทรุดลงไปนอนกับพื้นโดยมีเลือดไหลอาบช่วงอก เธอปล่อยมือจากทารกตัวน้อยที่นอนร้องไห้
ไม่นานนัก เสียงของเด็กน้อยทั้งสองก็เงียบลง
ในห้องสลัวที่มีหมาป่าสองตัวยืนคู่กันดูมนุษย์สองคนสุดท้ายในปราสาทหลังใหญ่สิ้นใจไปในที่สุด ไคลีนประคองแก้มของน้องชายมาดูใบหน้าของเขาชัดๆ เธอตกใจไม่แพ้กันที่ลูอิซมีน้ำตาไหลออกมา และยังดวงตาสีเขียวที่หม่นแสงลงตรงหน้าเธอ นี่ไม่ใช่ลูอิซในแบบที่เธอเคยเห็นมาตลอดสิบกว่าปี
“ผมจะไปพักซักหน่อย” เขาปัดมือเธอออกและเดินออกไป
ไคลีนตามขึ้นไปภายหลังจากที่จัดการกับร่างเด็กน้อยทั้งสองเรียบร้อยแล้ว เธอเดินไปสมทบกับไคล์ และเฟลิซที่โถงกลาง หมาป่าสองหนุ่มกำลังเอนตัวพิงโซฟาหรูหน้าเตาผิงที่มีรูปปั้นแกะสลักปราณีตโดยรอบ เสาหินอ่อนแกะสลักรูปปั้นเทพธิดา ถือคฑาสวยงามที่มีร่างของพ่อบ้านห้อยหัวเลือดชุ่มโชกยังไหลลงมาเป็นทางอยู่ ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยอง แต่กระนั้นหญิงสาวคนเดียวในห้องนี้ก็ดูจะเห็นจนชินตาไปแล้ว
ไคล์หยิบขวดไวน์จากถาดรถเข็นมาเปิดเพื่อฉลองปราสาทหลังใหม่ของสี่พี่น้อง เขายกขวดไวน์ขึ้นเรียกไคลีนเมื่อเห็นเธอเดินมาไกลๆ
“ไคลีน ตรงนี้มีไวน์จากปีที่เธอเกิดด้วยนะ รสชาติยอดไปเลย”
“ลูอิซล่ะ” เฟลิซที่กึ่งนอนเอนตัวพิงหมอนอิงอยู่ก็หันไปถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายคนโตทักไคลีนขึ้นมา เขาค่อนข้างติดลูอิซมากกว่าพี่ชายและพี่สาวทั้งสองที่อายุห่างกันเกือบเท่าตัวตั้งแต่เด็ก
“ไปนอนพักแล้ว” เธอเดินมานั่งโซฟายาวข้างเฟลิซด้วยสีหน้าสุดเซ็งพร้อมกับถอนหายใจยาว
“เป็นอะไร” ไคล์วางขวดไวน์ไว้ให้เธอแล้วถามก่อน
เธอคิ้วขมวดขึ้นทันทีตอนตอบ “ตั้งแต่กลับมานี่รู้สึกไหมว่าเขาอารมณ์อ่อนไหว”
“ลูอิซน่ะเหรอ” พี่ชายคนโตขมวดคิ้วถามไคลีนแล้วลูบหนวดเคราบนใบหน้า “ไม่รู้แหะ” คนอย่างไคล์คงไม่สังเกตอะไรนอกเหนือจากงาน และพ่อ เขาไม่ได้สนิทสนมอะไรกับน้องชายที่ปลีกตัวออกจากครอบครัวคนนี้เท่าไหร่นัก ไคล์จึงหันไปหาเฟลิซซึ่งน่าจะรู้จักลูอิซดีที่สุด น้องสุดท้องคนนี้ชอบไปป้วนเปี้ยนในเมืองและไปหาลูอิซบ่อยครั้ง แม้กระทั่งตอนล่าเหยื่อที่ลูอิซไม่ได้รวมกับฝูง เฟลิซก็ยังตามพี่ไปล่าด้วยสองคนหลายหนตอนที่เขาทำงานเป็นเอ็กโซซิส
ไคลีนขยับตัวเข้ามาหาน้องชายคนสุดท้องด้วยความอยากรู้อยากเห็น “คนรักเหรอ” เซ้นส์ของหญิงสาวมักจะดีเสมอ โดยเฉพาะเรื่องรักๆใคร่ๆ
เฟลิซได้แต่พยักหน้ารับ พอเห็นคำตอบจากน้องสุดท้อง พี่ๆทั้งสองต่างตกใจตาโต โดยเฉพาะไคลีนที่ดูจะตกใจและตื่นเต้นเป็นพิเศษ “มีรูปไหม หน้าตาเป็นยังไง” เธอซักไซร้ถามเฟลิซ ยื่นใบหน้ายิ้มแย้มเข้ามาใกล้
“ไม่เห็นมีติดตัวไว้นะ แต่ผมเคยเห็นเขาตอนงานรับบริจาคครั้งนึง …น่าจะคนนั้น”
“เขา…” คราวนี้เป็นเสียงไคล์ที่พูดขึ้นมาบ้าง “ผู้ชายงั้นเหรอ”
เฟลิซหันไปมองพี่ชายคนโตด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “นี่พี่ยังไม่รู้เหรอว่าลูอิซเป็นพวกหญิงก็ได้ชายก็ดี” พี่คนโตของบ้านผู้ทำงานสืบทอดกิจการครอบครัวมาตลอดจนไม่มีเวลาสนใจเรื่องพวกนี้ก็ได้แต่ส่ายหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวด้วยเลย
เฟลิซหันกลับมามองเตาผิง เปลวไฟปะทุสะเก็ดขึ้นมาและมอดดับลงไปในกองเพลิง เขาเงียบลงเล็กน้อย “เห็นเอามาแต่เถ้ากระดูก…”
ไคลีนยกมือปิดปากด้วยใบหน้าที่รู้สึกแย่ตามไปด้วย
“หัวกระโหลก… น่าจะของคนๆนั้นเหมือนกัน” เฟลิซเหม่อมองกองไฟไปด้วยขณะพูด “ผมไม่คิดจะถามตั้งแต่พี่ออกมาจากใต้ดินนั่น เขาเอาร่างของเพื่อนอีกสองคนไปฝั่ง แต่กับของคนนี้ตอนเห็นก็เป็นหอบผ้าใส่เถ้ากระดูกออกมาแล้ว” หมาป่าหนุ่มถอนหายใจ เขาเผลอตัวหยิบเหล้ายกขึ้นดื่มโดยที่พี่ๆไม่ทันห้ามอะไร จนสำลักความขมออกมาเอง
“เศร้าชะมัด” ไคลีนหันหน้าขึ้นไปยังทิศที่มีบันไดขึ้นไปชั้นบนของปราสาท ลูอิซคงขึ้นไปพักอยู่ในห้องนอนซักห้องด้านบน เขาเหนื่อยล้าเต็มทีจากการไม่ได้นอนติดกันหลายคืน และยังเดินทางมาจนถึงปราสาทในป่าลึกแห่งนี้ เธอหยิบขวดไวน์ปีเกิดของเธอขึ้นมาเปิดและยกดื่ม พอแอลกอฮอล์ลงคอเธอก็เท้าคางมองไปที่เตาผิงทางเดียวกับเฟลิซอีกคน
“ฉันไม่เคยเห็นเขารักใครเลยตั้งแต่เด็ก แม้กระทั่งพ่อหรือแม่ นั่นคง…หนักมากสำหรับเขา” เธอหลับตาลงและถอนหายใจยาว
สามพี่น้องต่างนั่งสงบนิ่งประหนึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งการไว้อาลัยให้คนรักของคนในครอบครัว
นับจากวันนั้นมาไคล์ได้กลับไปรวมฝูงกับพ่อ และเพื่อนของเขา ส่วนไคลีน และเฟลิซมาเยี่ยมหาลูอิซเป็นบ่อยครั้ง เพราะกลัวเจ้าหมาป่าเดียวดายตัวนี้จะเหงาตายไปซะก่อน แต่ก็ไม่ยักกะมาเจอตอนเหงาซักที บางทีก็มีเพื่อน หรือแขกเข้ามาหาเขา บ้างก็เป็นมนุษย์ที่ยอมสวามิภักดิ์ต่อหมาป่า พวกเขาต้องการเข้าร่วมเป็นเผ่าพันธุ์เดียวกับเขา แต่กลับถูกปฏิเสธไปนักต่อนัก จะมีก็แต่พวกหญิงสาวที่เข้าออกปราสาทได้สะดวก มีทั้งมนุษย์ และหมาป่าต่างเข้ามาปรนนิบัติปรนเปรออัลฟ่าหนุ่มที่มีชื่อไปทั่วเมือง เขาเป็นอัลฟ่าที่ช่วยชิงศิลามาจากเหล่าเอ็กโซซิส แค่นั้นก็ดึงดูดความสนใจของเหล่าหมาป่าด้วยกัน รวมไปถึงมินเนี่ยนที่อยากมีหูมีหางด้วย
ใช่เสียที่ไหนกันล่ะ เขาก็แค่… ไปอยู่ถูกที่ถูกทางก็เท่านั้น ลูอิซคิดเช่นนั้นเสมอมา
และเมื่อไหร่ที่เหล่าผู้มาเยือนปราสาทถามถึงเหตุการณ์เหล่านั้นลูอิซกลับปฏิเสธที่จะตอบ หรือแม้แต่เล่าให้ฟัง เพราะเขาไม่เคยลืม เขาจึงไม่อยากพูดถึง
กระโหลกศีรษะของมนุษย์คนหนึ่งยังวางอยู่ในห้องนอน ถูกปัดฝุ่นทำความสะอาดอย่างดีไม่ให้ใครแตะต้อง คนรักของเขา…
หมาป่าหนุ่มที่ตอนนี้ผมสีดำยาวลงมาเกลี่ยใบหน้าก้มลงจูบบนหน้าผากนั้นเบาๆและยิ้มเศร้าให้กระโหลกขาวนั้นทุกเช้า
“เจ้าบื้อ”
ก่อนจะออกไปเผชิญกับวันใหม่ที่แสนทรมาน
เขาไม่ได้ฝันถึงเรเวนอีกเลยนับแต่คืนนั้นที่หลับไป ลูอิซทำใจว่าคนรักของเขาคงไปสู่สุขคติตามที่พวกมนุษย์เชื่อกัน ไม่หลงเหลือเรเวนอยู่แล้วบนโลกใบนี้ มีเพียงกระดูก ขี้เถ้าในกล่อง กับภาพจำของคนรักในใจหมาป่าหนุ่มเท่านั้น
ไม่ว่าจะ5ปี 10ปี เขาไม่เคยลืมเจ้าของผมสีดำขลับ และดวงตาสีเทาหม่นหางตาตกดูน่าแกล้งนั้นได้เลย
ช่วงเข้าฤดูหนาววนเวียนมาอีกครั้ง เป็นช่วงเวลาเดียวกับหลังเหตุการณ์ครั้งนั้น และวันนี้เฟลิซก็นัดพี่ชายของเขาออกมาจากปราสาทเพื่อชมหิมะแรกของปี โดยให้เหตุผลว่า “พี่ควรออกมาเยี่ยมหลานบ้าง หลานจะได้จำหน้าลุงของพวกเขาได้ ปีละครั้งก็ยังดี”
ที่พักของไคลีนอยู่ไม่ห่างจากเมืองที่พวกเขาอยู่มากนัก อย่างน้อยก็ในระดับที่ฝีเท้าหมาป่าของสองพี่น้องจะวิ่งไปไม่กี่อึดใจถึง เธอคลอดลูกหมาป่าตัวน้อยออกมาก่อนฤดูหนาวจะมาเยือนพอดิบพอดี และตอนนี้ครอบครัวบลังโก้ก็มีเจ้าตัวน้อยจากไคลีนถึงสองคนแล้ว
ลูอิซเดินทางมาที่เมืองทางตอนเหนือของปราสาท เขามองหาเฟลิซที่บอกว่าจะมาสมทบที่เมืองนี้ แต่ยังไร้วี่แววจากเจ้าชายสายประจำของบ้าน เขาคิดว่าน้องชายจอมกวนนั่นคงแวะรายทางหรือออกมาช้าอย่างเคย จึงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่จะเดินดูหมู่บ้านรอบๆรอไปก่อน
หมู่บ้านในเมืองแถบนี้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของพวกหมาป่าโดยสมบูรณ์ พวกเขาไม่ต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆนับแต่เผ่าพันธุ์หมาป่าได้พลังของศิลามาอยู่ในมือ บ้านเรือนต่างๆประดับตกแต่งไฟสวยงามพร้อมต้อนรับช่วงฤดูกาลที่หนาวยาวนาน และเหล่าสัตว์มีขนอย่างพวกเขาจะได้อยู่แต่ในบ้านเพื่อจำศีล
ตลาดกลางคืนเริ่มเปิดแสงไฟหน้าร้านรวงให้ลูกค้ามาจับจ่ายใช้สอยกัน ลูอิซได้ออกมาเที่ยวเล่นที่นี่ก็ดูจะผ่อนคลายสีหน้าเครียดจากการต้องรอเจ้าน้องชายตัวดีไปบ้าง มีร้านเครื่องประดับหินที่หนึ่งดูจะสะดุดตาลูอิซเป็นพิเศษ ตรงหน้าเป็นหินสวยงามที่ถูกสลักเป็นรูปศิลาที่เขาคุ้นตาวางเรียงกันอยู่ “….” เขายืนมองมันด้วยความทรงจำในวันนั้นชัดเจน สิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่ทำให้ลูอิซลืมได้ลงเลยซักวัน
เขาเดินออกมาจากหน้าร้านโดยที่ไม่คิดจะซื้อมันกลับไป
และใครจะรู้ว่าเขาเกลียดศิลานั่นยิ่งกว่าอะไรดี…
ในจังหวะที่หมาป่าตัวใหญ่หันกลับออกมา ร่างสูงเกือบ2เมตรของเขาก็ชนเข้ากับใครบางคนที่เดินผ่านมาอย่างจัง เสียงของกองหนังสือร่วงหล่นลงพื้นหลายเล่มทันทีที่คนเดินไม่ดูทางเดินมาชน
“ขอโทษครับ”
หูหมาป่าสีดำ และผมสีดำขลับของคนที่ก้มลงเก็บของบนพื้น ยังไม่ทำให้ลูอิซหยุดชะงักได้เท่าน้ำเสียงโทนที่คุ้นเคย
เขาหยุดยืนดูหมาป่าหนุ่มน้อยก้มเก็บหนังสือที่หล่นบนพื้นด้วยคิ้วขมวดบนใบหน้าเคร่งเครียด และเมื่อเจ้าหมาป่าหนุ่มตรงหน้าเงยขึ้นมาจากพื้นกลับทำเขาอึ้งจนยืนนิ่งไปทันที ภาพทั้งหมดนั้นของช่วงเวลาสั้นๆขโมยเอาลมหายใจลูอิซไปชั่วขณะก่อนที่หัวใจจะเต้นแรงอีกครั้งอย่างไม่เคยเป็นมานาน
ดวงตาสีเขียวมรกตประสานกับตาสีเทาคู่นั้นที่เขาคุ้นเคย หางตาตก และใบหน้าซื่อบื้อของคนที่เขารู้จักดี
“เรเวน…”
.
.
.